ถ้าจะพูดถึงการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองนั้นคงไม่พ้น การดูแล รูปร่างหน้าตา และที่สำคัญที่ต้องไม่ลืม คือการดูแลใส่ใจ สุขภาพปากและฟัน การที่มีฟันขาวสดใส ลมปากสดชื่น นี่แหละที่จะเพิ่มความมั่นใจให้คุณได้ยิ้มกว้าง และสร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้างที่ได้เห็นด้วยคะ วันนี้มีเคล็ดลับง่ายๆ เพื่อให้ฟันดูขาวสดใส มาฝากกันคะ 1.การแปรงฟันคือวิธีที่ถูกที่สุดในการทำให้ฟันของคุณขาวสดใส วิธีที่แนะนำ คือการแปรงฟันให้สะอาดและทั่วถึง ร่วมกับการใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสม ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนช่วยในการลดคราบพลัค และแบคทีเรีย และไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลง แต่ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย สำหรับฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ การแปรงฟันที่ถูกต้องและใช้ยาสีฟันที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น จะช่วยให้คุณมีฟันขาวสดใส ได้ง่ายๆ ใช้เวลาน้อย และประหยัดด้วยนะคะ 2.การฟอกสีฟัน ถ้าการแปรงฟันไม่ทำให้ฟันขาวได้ดังใจ คุณอาจอยากลองฟอกสีฟันดูบ้างก็ได้ การฟอกสีฟันมีขั้นตอนการทำคือ ทาน้ำยาบริเวณเหงือกเพื่อป้องกันสวนที่อ่อนโยน หลังจากนั้นจึงทาน้ำยาฟอกทีฟัน แล้วกระตุ้นการทำงานด้วยแสงเลเซอร์ หรืออาจจะเป็นแสงสีฟ้า (Blue Light) หรือไม่ก็แสงเย็น (Cold Light) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่คลินิก และดุลยพินิจของทันตแพทย์ด้วย การฟอกสีฟันช่วยในการขจัดคราบชา กาแฟและบุหรี่ได้อยู่หมัดเลยค่ะ 3.เลือกลิปสติกให้เป็นลิปสติกบางเฉดก็ทำให้ฟันของคุณดูเหลืองมากขึ้น เช่น สีน้ำตาล หรือสีที่มีสีเหลืองเป็นตัวยืนอย่างพีช คอรัล หรือแดงส้ม ถ้าคุณมองหาเฉดสีแดง ให้ลองใช้สีแดงน้ำเงิน หรืออาจใช้เฉดชมพูอ่อนก็ได้ อย่าลืมใช้ลิปกลอสเพื่อให้ยิ้มของคุณสดใสยิ่งขึ้น ได้เคล็ดลับดีๆ แล้ว...ก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ ที่สำคัญการแปรงฟันที่ถูกต้องและใช้ยาสีฟันที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น จะช่วยให้คุณ ได้โชว์ยิ้มสดใส ฟันขาวสวย ได้อย่างมั่นใจทุกวัน การแปรงฟันใช้เวลาน้อย ง่าย และประหยัดด้วยนะคะ
ที่มา : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000135195
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วิธีดูแลผิวสวยให้มีสุขภาพดี
ผิวแห้ง
ผิวแห้งมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ อีกทั้งผิวยังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื่นไว้ได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับผิวมัน ผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่ละเอียด แต่ผิวแห้งกร้าน อาจรุนแรงถึงขั้นลอกเป็นขุย ผิวจะให้สัมผัสที่ไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร แถมเกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะมีแนวโน้มแห้งความชื้นน้อย เพราะต่อมไขมันทำงานช้าลง ดังนั้นการดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่น ให้กับผิวอีกทั้งช่วยป้องกันริ้วรอย อย่างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง หรือเชียร์บัตเตอร์
ผิวผสม
ผิวผสมเป็นผิวที่แห้งและผิวมันบริเวณทีโซน เช่น บริเวณหน้าผาก จมูก คาง ต่อมไขมันบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่ และทำงานได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวได้ ส่วนผิวบริเวณแก้มทั้งสองข้างมีลักษณะผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง การดูแลผิวจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปรับสมดุลของผิวทั้งสองบริเวณให้ใกล้เคียงกัน
ผิวธรรมดา
ผิวธรรมดาเป็นผิวที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันถึง เพราะเป็นผิวที่ดีที่สุด ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิวแห้งเกินไปหรือมันเกินไป ปัญหาเรื่องริ้วรอย หรือสิว จึงพบได้น้อย นอกจากการทำความสะอาด ปรับสภาพผิว และเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวแล้ว ก็ควรดูแลผิวเพิ่มเติมเมื่อต้องไปเผชิญกับสภาวะอาการที่ร้อนจัด หรือหนาวจัดเพื่อคงสุขภาพผิวที่ดีไว้ โดยคุณสามารถดูแลผิวธรรมดาของคุณให้สวยได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้โลชันน้ำนม ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากธรรมชาติ อาทิ ว่านหางจระเข้ ดอกคาโมมาย เชียร์บัตเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีนสกัดจากน้ำนมและถั่วเหลือง เป็นต้น นอกจากส่วนผสมดังกล่าวจะช่วยถนอมผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยป้องกันผิวจากอากาศเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
ผิวมัน
ผิวมันเกิดจากการที่ต่อมไขมันทำงานมากเกินปกติ และรูขุมขนที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ จึงปรากฏความมันของผิวโดยเฉพาะบริเวณทีโซน ปัญหาที่ตามมาคือสิว เพราะเกิดจาการอุดตันของน้ำมันตามรูขุมขน แต่คนผิวมันจะไม่เกิดปัญหาริ้วรอย ได้ง่ายเหมือนผิวประเภทอื่นๆ การดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันและป้องกันสิว ทางที่ดีควรใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมหรือสารสกัดจากธรรมชาติจะดีที่สุด
ผิวแพ้ง่าย
คุณสาวๆ บางคนอาจประสบปัญหาผิวแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้เป็นผื่น คัน แดง บ้างก็รุนแรงถึงขั้นเป็นรอยไหม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผิวแพ้ง่ายล่ะก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดสูตรอ่อนโยนทั้งหลาย ใครที่ใช้แต่สบู่ก้อนอาบน้ำมาโดยตลอด และประสบกับปัญหาผิวแห้งตึง แตก คัน ก็ลองเปลี่ยนใช้เจลอาบน้ำสูตรอ่อนโยนที่ไม่มีส่วนผสมของสารชำระล้าง ที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เพราะเจลอาบน้ำส่วนใหญ่จะไม่ทิ้งผิวที่แห้งตึงเอาไว้ให้เราหลังอาบน้ำ
นอกจากนี้ ถ้าอยากขัดผิวให้เนียนนุ่มมากขึ้น การขัดผิวเป็นครั้งคราวก็ต้องเลือกดูส่วนผสมของครีมขัดเป็นสำคัญ เพราะครีมขัดโดยทั่วไปมักทำให้ผิวที่แห้งอยู่แล้วยิ่งแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้น ครีมที่เหมาะกับคนทุกสภาพผิวก็ควรมีส่วนผสมของสิ่งที่จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ มะละกอ กากกาแฟ หรือเกลือทะเล เป็นต้น หลังขัดผิวสิ่งที่จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นหลังการขัด คือ ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว เชียร์บัตเตอร์ หรือน้ำผึ้ง เป็นต้น
เรื่องของกลิ่นก็สำคัญ เพราะช่วงเวลาที่เราอาบน้ำ หรือขัดผิวน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้นการเลือกกลิ่นก็สำคัญ อย่างกลิ่นของกาแฟ และอบเชยก็จะช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกลิ่นของกานพลู โรสแมรี หรือตะไคร้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลายไม่แพ้กันที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
http://dek-d.com/board/view.php?id=1154392#
ผิวแห้งมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ อีกทั้งผิวยังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื่นไว้ได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับผิวมัน ผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่ละเอียด แต่ผิวแห้งกร้าน อาจรุนแรงถึงขั้นลอกเป็นขุย ผิวจะให้สัมผัสที่ไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร แถมเกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะมีแนวโน้มแห้งความชื้นน้อย เพราะต่อมไขมันทำงานช้าลง ดังนั้นการดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่น ให้กับผิวอีกทั้งช่วยป้องกันริ้วรอย อย่างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง หรือเชียร์บัตเตอร์
ผิวผสม
ผิวผสมเป็นผิวที่แห้งและผิวมันบริเวณทีโซน เช่น บริเวณหน้าผาก จมูก คาง ต่อมไขมันบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่ และทำงานได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวได้ ส่วนผิวบริเวณแก้มทั้งสองข้างมีลักษณะผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง การดูแลผิวจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปรับสมดุลของผิวทั้งสองบริเวณให้ใกล้เคียงกัน
ผิวธรรมดา
ผิวธรรมดาเป็นผิวที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันถึง เพราะเป็นผิวที่ดีที่สุด ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิวแห้งเกินไปหรือมันเกินไป ปัญหาเรื่องริ้วรอย หรือสิว จึงพบได้น้อย นอกจากการทำความสะอาด ปรับสภาพผิว และเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวแล้ว ก็ควรดูแลผิวเพิ่มเติมเมื่อต้องไปเผชิญกับสภาวะอาการที่ร้อนจัด หรือหนาวจัดเพื่อคงสุขภาพผิวที่ดีไว้ โดยคุณสามารถดูแลผิวธรรมดาของคุณให้สวยได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้โลชันน้ำนม ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากธรรมชาติ อาทิ ว่านหางจระเข้ ดอกคาโมมาย เชียร์บัตเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีนสกัดจากน้ำนมและถั่วเหลือง เป็นต้น นอกจากส่วนผสมดังกล่าวจะช่วยถนอมผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยป้องกันผิวจากอากาศเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
ผิวมัน
ผิวมันเกิดจากการที่ต่อมไขมันทำงานมากเกินปกติ และรูขุมขนที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ จึงปรากฏความมันของผิวโดยเฉพาะบริเวณทีโซน ปัญหาที่ตามมาคือสิว เพราะเกิดจาการอุดตันของน้ำมันตามรูขุมขน แต่คนผิวมันจะไม่เกิดปัญหาริ้วรอย ได้ง่ายเหมือนผิวประเภทอื่นๆ การดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันและป้องกันสิว ทางที่ดีควรใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมหรือสารสกัดจากธรรมชาติจะดีที่สุด
ผิวแพ้ง่าย
คุณสาวๆ บางคนอาจประสบปัญหาผิวแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้เป็นผื่น คัน แดง บ้างก็รุนแรงถึงขั้นเป็นรอยไหม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผิวแพ้ง่ายล่ะก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดสูตรอ่อนโยนทั้งหลาย ใครที่ใช้แต่สบู่ก้อนอาบน้ำมาโดยตลอด และประสบกับปัญหาผิวแห้งตึง แตก คัน ก็ลองเปลี่ยนใช้เจลอาบน้ำสูตรอ่อนโยนที่ไม่มีส่วนผสมของสารชำระล้าง ที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เพราะเจลอาบน้ำส่วนใหญ่จะไม่ทิ้งผิวที่แห้งตึงเอาไว้ให้เราหลังอาบน้ำ
นอกจากนี้ ถ้าอยากขัดผิวให้เนียนนุ่มมากขึ้น การขัดผิวเป็นครั้งคราวก็ต้องเลือกดูส่วนผสมของครีมขัดเป็นสำคัญ เพราะครีมขัดโดยทั่วไปมักทำให้ผิวที่แห้งอยู่แล้วยิ่งแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้น ครีมที่เหมาะกับคนทุกสภาพผิวก็ควรมีส่วนผสมของสิ่งที่จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ มะละกอ กากกาแฟ หรือเกลือทะเล เป็นต้น หลังขัดผิวสิ่งที่จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นหลังการขัด คือ ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว เชียร์บัตเตอร์ หรือน้ำผึ้ง เป็นต้น
เรื่องของกลิ่นก็สำคัญ เพราะช่วงเวลาที่เราอาบน้ำ หรือขัดผิวน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้นการเลือกกลิ่นก็สำคัญ อย่างกลิ่นของกาแฟ และอบเชยก็จะช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกลิ่นของกานพลู โรสแมรี หรือตะไคร้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลายไม่แพ้กันที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
http://dek-d.com/board/view.php?id=1154392#
10 วิธีห่างไกลจากโรคมะเร็ง
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย1.มะเร็งปากมดลูกอาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2.มะเร็งในมดลูกอาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
*3.มะเร็งรังไข่อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์>มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียวหรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5.มะเร็งปอดอาการมักมีอาการไอบ่อย ๆมีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6.มะเร็งตับอาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะอาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
*8.มะเร็งสมองอาการปวดศีรษะนาน ๆและมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่าและเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9.มะเร็งในช่องปากอาการมีก้อนบวมอยู่ในปากหรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10.มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11.มะเร็งในกระเพาะอาหารอาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อยรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12.มะเร็งทรวงอกอาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง9ใน10คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
*13.มะเร็งลำไส้อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14.มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนังอาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า50เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย–ถึงท่านผู้โชคดีขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาลตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภายนอก
www.besthealthy4u.com/
2.มะเร็งในมดลูกอาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
*3.มะเร็งรังไข่อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์>มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียวหรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5.มะเร็งปอดอาการมักมีอาการไอบ่อย ๆมีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6.มะเร็งตับอาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะอาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
*8.มะเร็งสมองอาการปวดศีรษะนาน ๆและมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่าและเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9.มะเร็งในช่องปากอาการมีก้อนบวมอยู่ในปากหรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10.มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11.มะเร็งในกระเพาะอาหารอาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อยรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12.มะเร็งทรวงอกอาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง9ใน10คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
*13.มะเร็งลำไส้อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14.มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนังอาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า50เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย–ถึงท่านผู้โชคดีขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาลตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภายนอก
www.besthealthy4u.com/
การวางตัวดี
การวางตัวดี คือ วางตัวอยู่ในคุณค่า 6 ประการ คือ ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพ และ ความเหมาะสม และ ความเป็นกลาง 1. ศีลธรรม คือ ธรรมะ ที่ควรประพฤติอย่างมั่นคงดังศิลาภูผา ได้แก่ การไม่ทำลาย หรือ ทำร้ายชีวิตอื่น การไม่ลักขโมย หรือ ฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น การไม่ประพฤติผิดในบุตร ภรรยา หรือ สามี ของผู้อื่น การไม่พูดโกหก ส่อเสียด เพ้อเจ้อ หยาบคาย และ การไม่ดื่มสุรา ยาเมา หรือ ยาเสพย์ติด ทั้งนี้เพราะ พฤติกรรมดังกล่าว นั้น หากประพฤติแล้วจะนำมาซึ่งความเสื่อม ความเสียหายร้ายแรงนานาประการแก่ผู้กระทำนั้น เช่น การทำร้ายทำลายชีวิตอื่น นำมาซึ่งความเจ็บป่วยพิการ ความอ่อนแอ ความทรมาน ความตาย การพลัดพราก การจองจำ และ ความ เศร้าโศกเสียใจ การลักขโมยฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น นำมาซึ่งความขัดสน มีอุปสรรคใน กิจการงาน การสูญเสียทรัพย์ที่หามาได้ เพราะเหตุแห่งไฟโจร ความอยุติธรรม และการถูกรังเกียจจากผู้อื่น การประพฤติผิดในบุตร ภรรยา และ สามีของผู้อื่น นำมาซึ่งภัย คือ ความตาย การทะเลาะเบาะแว้ง การทุบตี ความคลางแคลงใจ ความไม่ซื่อสัตย์ ไม่จงรักภักดีของบริวาร การไม่ให้เกียรติกัน และ ความแหนงใจในตนเอง การพูดโกหก นำมาซึ่งความเชื่อถือไม่ได้ อันนำมาซึ่งการสูญเสีย เครดิต เสียสิทธิประโยชน์มากมาย การพูดส่อเสียด นำมาซึ่งภาวะจิตตึงตัว การมองโลกในแง่ร้าย ความไม่น่าไว้วางใจ ความเกลียดชัง การพูดเพ้อเจ้อ นำมาซึ่งการหลอกตัวเอง พาผู้เชื่อหลงทางสู่ หายนะ หรือ สูญเปล่า การพูดหยาบคาย นำมาซึ่งความไม่เป็นที่รัก การดื่มสุรา ยาเมา หรือ ยาเสพย์ติด นำมาซึ่งการเสียสติ ความ เสื่อมปัญญา การสูญเสียสมรรถภาพ ในการควบคุมตน เสียทรัพย์ เสียเพื่อนดีๆ เสียเวลา เสียสุขภาพ นำมา ซึ่งภัยพิบัติโรคร้าย และ ความตาย สิ่งเหล่านี้ จัดเป็นขยะโลก ที่ทำให้ชีวิตเปรอะเปื้อน เสื่อมเสีย แม้ข้อมูล หรือ สถานที่อันเอื้อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ก็จัดเป็นแหล่งโสโครก เพาะเชื้อภัย ที่ควรหลีกให้ห่าง จำไว้ว่า ชีวิตของเรา เก็บข้อมูลไว้อย่างไร มีประสบการณ์อย่างไร โดยมากก็มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะเช่นนั้น เช่น หากนั่งฟังคนนินทากัน บ่อยๆ อีกหน่อยก็จะกลายเป็นคนชอบนินทา โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ซึ่งเป็นการสะสมขยะข้อมูลให้เลอะเทอะอารมณ์ และเปลืองเนื้อที่สมอง สมอง และ เซลล์ประสาท อ้นเป็นหน่วยความจำของมนุษย์นั้น มีความจำกัดอยู่ ถ้าเราใส่ข้อมูลเข้าไปมากเกินขีดจำกัด ข้อมูลใหม่จะเข้าไปเบียดข้อมูลเก่าให้หายไปจากความทรงจำ เพราะความจำของมนุษย์ นั้นไม่เที่ยง ดังนั้น จงอย่าบันทึกเรื่องเหลวไหลไร้สาระ หรือ เรื่องราว ชั่วร้ายเข้าไปในระบบ จนเบียดสิ่งที่ดี มีประโยชน์ หากต้องประสบสิ่งเลวร้าย ก็สรุปเอาเฉพาะบทเรียนเป็นหลักธรรมสอนใจ ไม่ต้องจดจำรายละเอียดที่เลวร้ายเหล่านั้น หยุดอารมณ์ร้ายไว้ โดยไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่อง ให้เป็นกรรมใหม่กันต่อไป เพราะสิ่งใดที่บันทึกไว้แล้ว จะหล่อหลอมเป็นลักษณะบุคลิกภาพ ทางอารมณ์ สติปัญญา และพฤติกรรมเฉพาะตน ดังนั้น คนที่มุ่งสู่ความสำเร็จทั้งหลาย จึงต้องหลีกเลี่ยงขยะโลก อัน ได้แก่ความเท็จ และ ความจริงที่เป็นโทษ ไม่เหมาะสม ไร้ประโยชน์ อย่างเช่น วงนินทา วงเหล้า วงการพนัน ซ่องโจร ซ่องโสเภณี ซ่องมั่วสุม และแหล่งอบายมุขทั้งหลาย เพราะสถานที่เหล่านี้ ล้วนเป็นที่มาแห่งภัย แม้เมื่อ ยังไม่มีภัย แต่ชีวิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็เสื่อมทรามลงทุกวัน หากปรารถนาความสำเร็จในชีวิต จึงต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้เด็ดขาด และ ถือเป็นมาตรฐานอันแข็งแกร่งอันมั่นคงดังภูผา จึงเรียกว่า ศีลธรรม 2. คุณธรรม คือ ความจริงที่มีคุณ หรือ มีประโยชน์ต่อความสำเร็จสุขในชีวิต ซึ่งผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วน เพียรสั่งสม การสร้างคุณประโยชน์ให้บังเกิดแก่ชีวิตนั้น ทำได้ 2 ขั้นตอน คือ การอยู่กับสารประโยชน์ และ การสร้างสารประโยชน์ การอยู่กับสารประโยชน์ คือ การดำเนินชีวิตอยู่กับความเป็นจริง สิ่งที่เป็นประโยชน์ นำมาใช้ได้ และ มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการคบเพื่อน การสมาคมในสังคม การเลือกอาหาร งาน ที่อยู่อาศัย และ พฤติกรรมประจำวัน การที่จะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ได้ นั้น ต้องอยู่กับสาระประโยชน์ก่อน หากจัดตัวเองให้อยู่กับสารประโยชน์ได้ในระดับใด ก็จะสามารถ สร้างสารประโยชน์ได้ใน ระดับนั้น หรือใกล้เคียง ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า หรือแม้โสกราตีส นิวตัน กาลิเลโอ ไอน์สไตน์ ล้วนดำเนินชีวิตสะอาด เรียบง่าย มุ่งสู่สารคุณอันล้ำลึก ลด ละหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหลวไหล ไร้สาระ ที่พาตกต่ำ และไม่ยอมสร้าง ปัญหาเป็นภาระให้ผู้อื่น ไม่ยอมให้ใครชักจูง ไม่ไหลไปตามกระแส จึงสามารถก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด มีหลักง่ายๆ สำหรับการพิจารณาค่าสารคุณ คือ การพึ่งพาพลัง ภายนอก จะทำให้เราอ่อนแอลง เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าสารคุณน้อย แต่หากหันมาใช้พลังจากภายในให้มาก จะทำให้เราเข้มแข็ง และอยู่เหนือ ธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่มีค่าสารคุณมาก หลักการนี้ สามารถนำไปวิเคราะห์และวัดค่าได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความสัมพันธ์ การบริโภควัตถุ ยศ อำนาจ ชื่อเสียง และ ความสุข แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งซึ่งพึงระวังในการเลือกสารคุณ คือ อย่าสุดโต่ง จนกลายเป็นสมบูรณ์นิยม จนไม่มีความเป็นกลางวางเฉย เพราะตราบเท่าที่เรายังอยู่บนโลก ที่มีทั้งดี ทั้งชั่ว และเป็นกลาง ยังต้องสัมพันธ์กับ สิ่งที่มีทั้งคุณ และโทษ และความเป็นกลาง หน้าที่ของเรา ก็คือ ต้อง วินิจฉัยว่า เราสามารถควบ คุมโทษของมันมิให้กำเริบได้ หรือไม่ต้องรู้จัก พิจารณาว่า ค่าสาระคุณนั้น เป็นสิ่งจำเป็นเอื้อประโยชน์ และเหมาะสม กับภาวะฐานะหรือไม่ ตลอดจนต้องคำนึงถึงว่า เราจะยังคงความเป็นกลาง ในการสัมผัสสิ่งนั้นได้หรือไม่ ถ้าเราสามารถบริหารการสัมพันธ์ได้ดังนี้ เราก็จะได้บริโภคคุณ ควบคุมโทษ และ คงความเป็นกลางได้เสมอ เหมือนการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งต้องระมัดระวังควบคุมโทษด้วย ฉนวนป้องกันภัย ใช้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จึงจะได้ใช้คุณประโยชน์ของมันอย่างเต็มที่ และสิ่งสำคัญอยู่ที่ ต้อง อยู่ในความเป็นกลางเสมอ คือ ไม่หลงใหลได้ปลื้ม และไม่ยินดียินร้าย ผลักไส เมื่ออยู่กับ สารประโยชน์เสมอ เสพสารประโยชน์โดยสมควร ในขั้น ต่อไปก็จะเข้าใจคุณค่า และเห็นโครงสร้างของสารประโยชน์ เมื่อ ตระหนักในสารประโยชน์ ก็จะสามารถสร้างสารประโยชน์แก่ตนเอง และ ผู้อื่นได้โดยสมควร 3. จริยธรรม คือ คุณสมบัติที่ทำให้งดงาม ได้แก่ ความละอายต่อบาป ความอดกลั้น ความสุภาพ ความอ่อนโยน และ ความสำรวม คุณสมบัติประการหนึ่งของผู้ประสบความสำเร็จ คือ มีความงดงาม ใน จิตใจ วาจา และ พฤติกรรม จึงเป็นที่ยอมรับนับถือ และ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย จึงได้รับความร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้อื่นโดยง่าย ด้วยความเต็มใจ เพราะความ สงบเสงี่ยม สุภาพ อ่อนโยน นั้นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ และ สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้อ่อนเข้าหา แม้ใจอันกระด้างก็ยังพ่ายใจอันอ่อนโยน และมั่นคง เฉกเช่น ภูผาอันแข็งแกร่ง ยังถูกทะลุทะลวงด้วยสายน้ำ เป็นธารถ้ำต่างๆ หรือ แม้เหล็กแกร่งยังสามารถตัดได้ ด้วยสายน้ำที่มีความเร็วสูง อันเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ดังนั้น จริยธรรม จึงเป็นคุณสมบัติจำเป็นอีกประการหนึ่ง ของผู้ประสบความสำเร็จ 4. คุณภาพ หมายถึง ความสามารถเป็นยอด และ อดทนเป็นเยี่ยม คนที่เหลาะแหละ มักง่าย เอะอะ โวยวาย แสดงถึงคุณภาพที่ต่ำ แม้คนเก่งแต่ไม่มีความอดทน เปราะบาง ก็จัดอยู่ในคุณภาพที่ต่ำเช่นกัน หรือ คนที่อึด อดทน แต่ไร้ความสามารถ ก็ยังห่างไกลความสำเร็จ จำต้องปรับปรุงคุณภาพ ให้ครบก่อน การสร้างความสามารถ นั้น สร้างได้ด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนา มี วินัยในตนเอง และนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งความรู้และทักษะ จนเป็นความชำนาญพิเศษ การสร้างความอดทนนั้น สร้างได้ด้วยการทำความเข้าใจ ต่อทุกเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ ไม่ให้พลังภายนอกเข้ามาในใจตน แผ่พลังใจออกไปรอบตัวอย่างต่อเนื่อง อภัยให้ตนเองและคนอื่นในทุกเรื่องโดยสมควร และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่งตลอดเวลา 5. ความเหมาะสม คือ การวางตัวอย่างเหมาะเจาะกับภาวะและฐานะของตน การวางตัวเหมาะสมกับภาวะ เช่น เป็นเด็ก ก็ต้องหมั่นเรียนรู้ ซักถาม เชื่อฟัง อ่อนน้อม หากอวดรู้ แข็ง กระด้าง ก็จะไม่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ หากเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องวางตัวให้สมกับการหลักให้ผู้อื่น คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความยินดีสละ รู้จักให้อภัย หากเป็นคนแก่ ก็ไม่ทำ ตัวเหมือนเด็ก จะถูกค่อนแคะว่า เป็นเฒ่าทารก เป็นต้น การวางตัวเหมาะสมกับฐานะ คือ การวางตัวให้เหมาะสมกับหน้าที่ เพราะในแต่ละฐานะนั่น เกิดมาเพราะหน้าที่ เช่น ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคนในปกครอง หากผู้ปกครองปัดความรับผิดชอบและชอบกล่าวโทษ โยนความผิดให้ผู้อื่น ก็จะเสียคนในปกครองไป เป็นต้น ดังนั้น การวางตัวให้เหมาะสมกับภาวะ และ ฐานะ จึงเป็นนิสัยเบื้องต้น แห่งความสำเร็จของชีวิตประการหนึ่ง ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้ การวางตัวอยู่ในศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพ และ ความเหมาะสม เป็นการวางตัวดี เมื่อทำตัวดีมาโดยตลอดแล้ว จงอย่าติดดี เชิดชู ความดีของตนจนโดดเด่น เพราะ หากหลงตัวเอง ก็เท่ากับมีความชั่วมาพัวพันแล้ว เสมือนที่ใด ที่มีโปรตรอนอยู่เดี่ยวๆ ก็จะมีอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่น มาเกาะ ดังนั้น หากทำตัวเด่นดังด้วยความดี ก็จะถูกริษยา นินทา ว่าร้าย กลั่นแกล้ง เพราะเป็นธรรมดาของสิ่งชั่วที่จะวิ่งเข้าหาความดี และ เป็นธรรมดาที่คนชั่วจะอาศัยคนดี ด้วยเหตนี้ เมื่อโจรจะปล้น ก็ปล้นคนดีนั่นเอง เมื่อ คนเจ้าเล่ห์จะโกง ก็โกงคนซื่อนั่นเอง ดังนั้น การทำความดีให้ปลอดภัย ต้อง ทำในความเป็นกลาง 6. ความเป็นกลาง คือ การวางตัวที่ปลอดภัย และ ได้ประโยชน์สูงสุดเสมอ คือ การวางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริง ซึ่งมิใช่การ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือ ทำเป็นไม่ รู้และไม่ชี้ขาดว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ความไม่รู้ นั้นเป็น โมหะ ความโง่ ส่วนความไม่ชี้ นั้นเป็นเพราะ อคติ การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะกลัวชี้ถูกชี้ผิดแล้วจะทำให้มีการผิดใจกัน แต่หากรู้ แล้วไม่ชี้ถูกชี้ผิดลงไป ก็จะไม่สามารถรักษาสังคม หรือ ไม่สามารถ แก้ ปัญหาชี้ขาดได้ ดังนั้น ความเป็นกลางที่แท้จริง นั้น มิได้หมายถึงการไม่เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง หรือ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ ความเป็นกลางแท้จริงนั้น หมายถึง การชี้ขาดอย่างเที่ยงธรรมว่า ผิดคือผิด ถูกคือถูก อย่างตรงไปตรงมา โดย ไม่มี ความลำเอียง จงอย่าลืมว่า ความเป็นกลางไม่ใช่ความดีความชั่ว แต่ความดีจะอยู่ใน ความเป็นกลางเสมอ เช่น ในอะตอมของธาตุ จะมีอนุภาคหลัก คือ นิวตรอน เป็นกลาง มีโปรตรอน เป็น บวก และ อิเล็กตรอน เป็นลบ ซึ่งโปรตรอนนั้น จะอยู่ในนิวตรอนเสมอ โดยมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่ภายนอกรอบๆ ในจิตใจที่เป็นกลาง ก็เช่นกัน จะมีความดีสถิตอยู่เสมอ โดยความดี ก็มิ ใช่ความเป็นกลาง และ ความเป็นกลางก็มิใช่ความดี และมีความชั่ววิ่งวุ่นอยู่ ภายนอก ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิตใจวุ่นวายเพราะสิ่งชั่วร้าย เพียงแค่สงบใจได้ กลับสู่ภายใน สำนึกอันดีงาม ก็จะปรากฏ อารมณ์ชั่วร้ายก็จะหายไป เมื่อเป็นกลางดีแล้ว จึงสามารถ รักษาความดีได้ โดยไม่ติดดี และ ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย ดังนั้น คนที่เป็นกลางจะสามารถรักษาตน กิจการ องค์กร และ สังคมให้มั่นคงสืบไปได้
ที่มา : คุณไชย ณ พล...ผู้จัดการออนไลน์
http://webboard.mthai.com/7/2006-11-01/278599.html
ที่มา : คุณไชย ณ พล...ผู้จัดการออนไลน์
http://webboard.mthai.com/7/2006-11-01/278599.html
บุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพ
แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ มาจากคำบาลี 2 คำ คือ บุคลิก กับ ภาวหรือภาพ เมื่อนำมารวมกันหรือสมาสกันเป็น บุคลิกภาพ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ นักจิตวิทยาได้ให้ความหมายบุคลิกภาพไว้หลายทัศนะด้วยกัน เช่น
บุคลิกภาพ คือ ผลรวมของพันธุกรรม และประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคล
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะรวมของบุคคล และวิธีการแสดงออกทางพฤติกรรม ซึ่งกำหนดการปรับตัววจามแบบฉบับของแต่ละบุคคลต่องสิ่งแวดล้อม
บุคลิกภาพ คือ กระบวนการสร้างหรือการจัดส่วนประกอบของแต่ละคน ทั้งภายในและภายนอก(จิตใจและร่างกาย) ซึ่งบุคลิกภาพนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำหนด ตัดสินพิจารณาลักษณะพฤติกรรม และความนึกคิดของบุคคลนั้น
สรุป บุคลิกภาพ คือ ลักษณะพิเศษเฉพาะของบุคคลแต่ละบุคคล อันทำให้บุคคลนั้นแตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ บุคลิกภาพประกอบด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ
องค์ประกอบของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ ประกอบไปด้วยลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ลักษณะท่าทาง
2. ลักษณะทางใจ
3. ลักษณะทางสังคม
4. ลักษณะทางอารมณ์
ลักษณะของผู้มีบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพที่ดี มักจะเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านสุขภาพจิตดี ทำให้มีการปรับตัวที่ดี และส่งผลถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีด้วย ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี จะมี
คุณลักษณะและความสามารถทางจิตที่สำคัญ 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจสภาพความจริงอย่างถูกต้อง
2. การแสดงอารมณ์ในลักษณะและขอบเขตที่เหมาะสม
3. ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางสัฝคม
4. ความสามารถในการทำงานที่อำนวยคุณประโยชน์
5. ความรักและการต้องการทางเพศ
6. ความสามารถในการพัฒนาตน
การพัฒนาบุคลิกภาพ
คำว่า บุคลิกภาพ มาจากคำว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้น บุคลิกภาเราจึงหมายถึง ลักษณะเฉพาะตังของเราแต่ละคน ซึ่งไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร บุคลิกภาพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่มีใครสามารถเลียนแบบบุคลิกภาพผู้อื่นได้เหมือนทุกอย่าง ทุกประการ และบุคลิกภาพสามารถปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นได้
ประเภทของบุคลิกภาพที่ควรปรับปรุง
บุคลิกภาพของบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. บุคลิกภาพภายนอก
2. บุคลิกภาพภายใน
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
การปรับปรุงบุคลิกภายนอก หมายถึง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด หรือ สัมผัสได้ การปรับปรุงแก้ไขก็ทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย และวัดผลได้ทันที ได้แก่
รูปร่างหน้าตา
การปรับปรุงการแต่งกาย
การปรับปรุงในเรื่องการติดต่อสื่อสาร
การปรับปรุงการพูด
การปรับปรุงการฟัง
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็น และ สัมผัสยาก ต้องมีโอกาสทำงานร่วมกัน หรืออยู่ด้วยกันนานๆ บุคลิกภาพภายในจึงจะแสดงออกมา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน และวัดผลลำบาก
บุคลิกภาพภายนอก
ได้แก่
ความกระตือรือล้น
ความซื่อสัตย์
ความสุภาพ
ความร่าเริงและความร่วมมือ
ความแนบเนียน
ความยับยั้งชั่งใจ
ความจริงใจ
จินตนาการ
http://comschool.site40.net/s6.html
แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ มาจากคำบาลี 2 คำ คือ บุคลิก กับ ภาวหรือภาพ เมื่อนำมารวมกันหรือสมาสกันเป็น บุคลิกภาพ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ นักจิตวิทยาได้ให้ความหมายบุคลิกภาพไว้หลายทัศนะด้วยกัน เช่น
บุคลิกภาพ คือ ผลรวมของพันธุกรรม และประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคล
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะรวมของบุคคล และวิธีการแสดงออกทางพฤติกรรม ซึ่งกำหนดการปรับตัววจามแบบฉบับของแต่ละบุคคลต่องสิ่งแวดล้อม
บุคลิกภาพ คือ กระบวนการสร้างหรือการจัดส่วนประกอบของแต่ละคน ทั้งภายในและภายนอก(จิตใจและร่างกาย) ซึ่งบุคลิกภาพนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำหนด ตัดสินพิจารณาลักษณะพฤติกรรม และความนึกคิดของบุคคลนั้น
สรุป บุคลิกภาพ คือ ลักษณะพิเศษเฉพาะของบุคคลแต่ละบุคคล อันทำให้บุคคลนั้นแตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ บุคลิกภาพประกอบด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ
องค์ประกอบของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ ประกอบไปด้วยลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ลักษณะท่าทาง
2. ลักษณะทางใจ
3. ลักษณะทางสังคม
4. ลักษณะทางอารมณ์
ลักษณะของผู้มีบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพที่ดี มักจะเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านสุขภาพจิตดี ทำให้มีการปรับตัวที่ดี และส่งผลถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีด้วย ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี จะมี
คุณลักษณะและความสามารถทางจิตที่สำคัญ 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจสภาพความจริงอย่างถูกต้อง
2. การแสดงอารมณ์ในลักษณะและขอบเขตที่เหมาะสม
3. ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางสัฝคม
4. ความสามารถในการทำงานที่อำนวยคุณประโยชน์
5. ความรักและการต้องการทางเพศ
6. ความสามารถในการพัฒนาตน
การพัฒนาบุคลิกภาพ
คำว่า บุคลิกภาพ มาจากคำว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้น บุคลิกภาเราจึงหมายถึง ลักษณะเฉพาะตังของเราแต่ละคน ซึ่งไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร บุคลิกภาพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่มีใครสามารถเลียนแบบบุคลิกภาพผู้อื่นได้เหมือนทุกอย่าง ทุกประการ และบุคลิกภาพสามารถปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นได้
ประเภทของบุคลิกภาพที่ควรปรับปรุง
บุคลิกภาพของบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. บุคลิกภาพภายนอก
2. บุคลิกภาพภายใน
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก
การปรับปรุงบุคลิกภายนอก หมายถึง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด หรือ สัมผัสได้ การปรับปรุงแก้ไขก็ทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย และวัดผลได้ทันที ได้แก่
รูปร่างหน้าตา
การปรับปรุงการแต่งกาย
การปรับปรุงในเรื่องการติดต่อสื่อสาร
การปรับปรุงการพูด
การปรับปรุงการฟัง
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็น และ สัมผัสยาก ต้องมีโอกาสทำงานร่วมกัน หรืออยู่ด้วยกันนานๆ บุคลิกภาพภายในจึงจะแสดงออกมา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน และวัดผลลำบาก
บุคลิกภาพภายนอก
ได้แก่
ความกระตือรือล้น
ความซื่อสัตย์
ความสุภาพ
ความร่าเริงและความร่วมมือ
ความแนบเนียน
ความยับยั้งชั่งใจ
ความจริงใจ
จินตนาการ
http://comschool.site40.net/s6.html
ศัลยกรรมวัยทีน เทรนด์สวยก่อนสาว
ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องของคนมีริ้วรอยอีกต่อไป เพราะตอนนี้เทรนด์สวยด้วยแพทย์ กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นไทย โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา แรงจูงใจในการทำศัลยกรรมมาจากธรรมชาติ ของวัยรุ่นที่รักสวยรักงาม กลัวมีปมด้อย และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ผ่า เสริม เติม ตัด เพื่อรูปลักษณ์ที่ดีขึ้น ประกอบกับกระแสเกาหลีฟีเวอร์ ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในบ้านเรายามนี้ ช่วยหนุนนำให้การศัลยกรรม กลายเป็นเรื่องธรรมดา
7 จุดศัลยกรรมยอดฮิต นอกจากสาวๆ จะนิยมทำศัลยกรรมแล้ว ตอนนี้ตัวเลขการทำศัลยกรรมในวัยรุ่นชายก็มีแนว โน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผู้ชายนิยมทำหน้าใส ลบรอยแผลเป็นจากสิว กรีดตาสองชั้น และเสริมจมูก โดย 7 อันดับแรก ที่เด็กวัยรุ่นนิยมทำศัลยกรรมกันมากที่สุดคือ 1. ลบรอยแผลเป็น รักษาผิวจากรอยสิว ทำหน้าใส 2. กรีดตาสองชั้น 3. เสริมจมูก 4. เสริมคาง 5. ตัดกรามทำหน้าเรียว 6. ฉีดปากอวบอิ่ม หรือผ่าตัดปากบาง 7. เสริมหน้าอกวัยรุ่นทำศัลยกรรมได้หรือ??คำตอบคือ “ทำได้” อย่าเพิ่งประหลาดใจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะจากสถิติวัยรุ่นที่นิยมทำศัลยกรรม ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ 17 - 18 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นช่วงที่เจริญเติบโตเต็มที่ และมีพัฒนาการทางร่างกายใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่ การทำศัลยกรรมจึงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการเจริญเติบโตเลย แต่ถึงกระนั้น นพ.กมล วัฒนไกร เลขาธิการ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการกองศัลยกรรม รพ.ภูมิพลอดุลยเดช ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า“วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความสดใสสวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้เมื่อผ่านช่วงวัยนี้ไป วัยรุ่นจึงควรพอใจกับความงามนี้ ไม่รีบร้อนทำศัลยกรรมตามกระแส ควรรอให้โตเต็มที่และมีวุฒิภาวะเพียงพอ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง หากเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่ เมื่อนั้นค่อยมาทำ ศัลยกรรมก็ยังไม่สาย” สำหรับวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 การทำศัลยกรรมจะต้องได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง มิฉะนั้นแพทย์ไม่อาจผ่าตัดให้ได้ เนื่องจากผิดบัญญัติแพทยสภา ดังนั้นก่อนจะทำศัลยกรรม จึงควรปรึกษาผู้ปกครองขอความเห็นชอบก่อน และต้องเผื่อใจไว้สักนิดหากแพทย์ลงความเห็นว่าไม่ควรทำ เนื่องจากคนไข้ไม่มีปัญหากับส่วนที่คิดจะศัลยกรรม ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใดศัลยกรรมทำชีวิตเปลี่ยนไป การทำศัลยกรรม เปรียบเหมือนการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความสวยงามภายนอกและความสุขทางใจ แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แน่นอนคือไลฟ์สไตล์ที่ต้องเปลี่ยนไป จากเคยเล่นกีฬาผาดโผนหรือใช้ชีวิตกลางแจ้งอาจต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคนที่เสริมจมูก และควรหมั่นสังเกตบริเวณที่ผ่านการศัลยกรรมเสมอว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น จมูกเบี้ยว ปลายจมูกใส อันอาจเกิดจากการเสริมจมูกโด่งเกินไป ทำให้ซิลิโคนดันปลายจมูก ทิ้งไว้นานอาจเกิดแผลติดเชื้อลุกลามได้ อีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่เคยได้ยินกันบ้างคือ การศัลยกรรมเสริมกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงในคนที่ไม่พอใจในความสูงของตน ซึ่งแพทย์ไม่แนะนำเพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานานมาก ที่สำคัญการมีบาดแผลขนาดใหญ่จากการผ่าตัดที่ต้นขาไม่คุ้มกับความสูงที่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 นิ้ว การศัลยกรรมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้พิการแต่กำเนิดหรือจากอุบัติเหตุที่ทำให้ขาทั้งสองข้างยาวไม่เท่ากันมากกว่า
สรุปแล้วการศัลยกรรมนั้นมีทั้งเพื่อเสริมสร้างและเสริมสวย สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาสามารถใช้ประโยชน์จากการศัลยกรรมไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การจัดหรือดัดฟัน ฯลฯ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าจะทำเพื่อการเสริมสวยแล้วละก็ อย่าลืมหยุดคิดสักนิด... จะได้ไม่มีคำว่า “เสียใจ” ภายหลัง
http://www.konmun.com/Variety/id4952.aspx
7 จุดศัลยกรรมยอดฮิต นอกจากสาวๆ จะนิยมทำศัลยกรรมแล้ว ตอนนี้ตัวเลขการทำศัลยกรรมในวัยรุ่นชายก็มีแนว โน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผู้ชายนิยมทำหน้าใส ลบรอยแผลเป็นจากสิว กรีดตาสองชั้น และเสริมจมูก โดย 7 อันดับแรก ที่เด็กวัยรุ่นนิยมทำศัลยกรรมกันมากที่สุดคือ 1. ลบรอยแผลเป็น รักษาผิวจากรอยสิว ทำหน้าใส 2. กรีดตาสองชั้น 3. เสริมจมูก 4. เสริมคาง 5. ตัดกรามทำหน้าเรียว 6. ฉีดปากอวบอิ่ม หรือผ่าตัดปากบาง 7. เสริมหน้าอกวัยรุ่นทำศัลยกรรมได้หรือ??คำตอบคือ “ทำได้” อย่าเพิ่งประหลาดใจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะจากสถิติวัยรุ่นที่นิยมทำศัลยกรรม ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ 17 - 18 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นช่วงที่เจริญเติบโตเต็มที่ และมีพัฒนาการทางร่างกายใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่ การทำศัลยกรรมจึงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการเจริญเติบโตเลย แต่ถึงกระนั้น นพ.กมล วัฒนไกร เลขาธิการ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการกองศัลยกรรม รพ.ภูมิพลอดุลยเดช ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า“วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความสดใสสวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้เมื่อผ่านช่วงวัยนี้ไป วัยรุ่นจึงควรพอใจกับความงามนี้ ไม่รีบร้อนทำศัลยกรรมตามกระแส ควรรอให้โตเต็มที่และมีวุฒิภาวะเพียงพอ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง หากเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่ เมื่อนั้นค่อยมาทำ ศัลยกรรมก็ยังไม่สาย” สำหรับวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 การทำศัลยกรรมจะต้องได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง มิฉะนั้นแพทย์ไม่อาจผ่าตัดให้ได้ เนื่องจากผิดบัญญัติแพทยสภา ดังนั้นก่อนจะทำศัลยกรรม จึงควรปรึกษาผู้ปกครองขอความเห็นชอบก่อน และต้องเผื่อใจไว้สักนิดหากแพทย์ลงความเห็นว่าไม่ควรทำ เนื่องจากคนไข้ไม่มีปัญหากับส่วนที่คิดจะศัลยกรรม ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใดศัลยกรรมทำชีวิตเปลี่ยนไป การทำศัลยกรรม เปรียบเหมือนการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความสวยงามภายนอกและความสุขทางใจ แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แน่นอนคือไลฟ์สไตล์ที่ต้องเปลี่ยนไป จากเคยเล่นกีฬาผาดโผนหรือใช้ชีวิตกลางแจ้งอาจต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคนที่เสริมจมูก และควรหมั่นสังเกตบริเวณที่ผ่านการศัลยกรรมเสมอว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น จมูกเบี้ยว ปลายจมูกใส อันอาจเกิดจากการเสริมจมูกโด่งเกินไป ทำให้ซิลิโคนดันปลายจมูก ทิ้งไว้นานอาจเกิดแผลติดเชื้อลุกลามได้ อีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่เคยได้ยินกันบ้างคือ การศัลยกรรมเสริมกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงในคนที่ไม่พอใจในความสูงของตน ซึ่งแพทย์ไม่แนะนำเพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานานมาก ที่สำคัญการมีบาดแผลขนาดใหญ่จากการผ่าตัดที่ต้นขาไม่คุ้มกับความสูงที่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 นิ้ว การศัลยกรรมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้พิการแต่กำเนิดหรือจากอุบัติเหตุที่ทำให้ขาทั้งสองข้างยาวไม่เท่ากันมากกว่า
สรุปแล้วการศัลยกรรมนั้นมีทั้งเพื่อเสริมสร้างและเสริมสวย สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาสามารถใช้ประโยชน์จากการศัลยกรรมไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การจัดหรือดัดฟัน ฯลฯ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าจะทำเพื่อการเสริมสวยแล้วละก็ อย่าลืมหยุดคิดสักนิด... จะได้ไม่มีคำว่า “เสียใจ” ภายหลัง
http://www.konmun.com/Variety/id4952.aspx
เคล็ดลับในการลดนำหนักแบบธรรมชาติ
เคล็ดลับในการลดนำหนักแบบธรรมชาติ
คนอ้วน ถ้ารับประทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยลงวันละ 500 กิโลแคลอรี่น้ำหนักตัวจะลดลง 0.45 กก./สัปดาห์ ถ้าปฏิบัติจริงอย่างสม่ำเสมอในช่วง10 เดือนจะลดได้ 18 กก. ดังนั้นต้องเข้าใจให้ดีว่าการลดน้ำหนักต้องใช้เวลา และต้องมีวินัยการบริโภคอาหารอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญกว่าน้ำหนักที่ลดลงคือการรักษาสภาพของน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้วให้ได้ตลอดไปจึงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวกำจัดปริมาณพลังงานที่รับประทานให้น้อยลง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จนสามารถลดได้วันละ 500 กิโลแคลอรี่ แต่ต้องให้ได้พลังงานไม่ต่ำกว่าวันละ 1,200 กิโลแคลอรี่ ซึ่งพูดอย่างง่ายๆ ก็คือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก เช่น หมู 3 ชิ้น ข้าวมันไก่ แกงกะทิ อาหารทอดต่าง ๆ ได้แก่ กลัวยแขก ทอดมัน ปลาท่องโก๋ เพราะไขมันเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูงสุดถึง 9 กิโลแคลอรี่/กรัม นอกจากนี้ร่างกายมีขีดจำกัด ในการเผาไหม้ไขมันเป็นพลังงานต้องรับประทานโปรตีนให้มากพอ เพราะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 75 เป็นไขมัน และร้อยละ 25 เป็นโปรตีน การลดน้ำหนักตัวมีเป้าหมายลดเฉพาะไขมันและสงวนโปรตีนไว้ พูดแปลง่ายๆ ก็คือ ให้หันมารับประทานเนื้อไก่และเนื้อปลาที่ไม่มีไขมันให้มากขึ้นเลือกรับประทานแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม ได้แก่ ข้าวและแป้งงดรับประทานเครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลทรายและขนมหวาน แต่ถ้ายังติดในรสหวาน ก็ให้ใช้สารรสหวานแทนน้ำตาลทราย (น้ำตาลเทียม)รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ เพราะนอกจากให้วิตามิน และเกลือแร่แล้วยังให้ใยอาหาร ทำให้ไม่ท้องผูกและมีความรู้สึกอิ่ม ไม่หิวบ่อยแต่ต้องไม่รับประทานผลไม้ที่หวานจัด เช่น องุ่น ละมุด ทุเรียน มะม่วงสุกเพราะให้พลังงานมาก ถ้าอดใจไม่ได้ก็ต้องรับประทานให้น้อยลง และเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารเอทานอลซึ่งให้พลังงาน 7 กิโลแคลอรี่/กรัมร่างกายจะเผาไหม้เอทานลก่อนไขมันจึงเอื้ออำนวยให้เกิดการสะสมไขมันภายในร่างกายห้ามอดมื้อกินมื้อ เพราะการอดอาหารอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ฃและยังจะทำให้การกินอาหารในมื้อถัดไปจะเพิ่มปริมาณมากกว่าปกติ
อาหารบำรุงสมอง
“สมอง” นับว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก เป็นอวัยวะที่บัญชาการควบคุมให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ แม้ว่าสมองจะถูกใช้งานยาวนานเพียงใด ก็ยังสามารถทำงานได้ดี หากเราดูแลและบริหารสมองให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งอาหารหารกินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยบำรุงสมองให้ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพอาหารบำรุงสมองที่สำคัญ
1. ไทโรซีน (Thyrosine) มีมากในปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทะเลนย้ำลึก สารไทโรซีนช่วยให้สมองตื่นตัว และมีสมาธิ
2. นม และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง สร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่สมอง
3. ข้าวไม่ขัดสี ในข้าวไม่ขัดสีมีกรดอมิโนที่ไม่จำเป็นอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นตัวที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงสมอง
4. ผักโขม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองส่วนกลาง เนื่องจากวัยที่สูงขึ้น สมองก็จะเสื่อมลงด้วย
5. ขมิ้น สีเหลืองของขมิ้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม
6. สตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสมองมาเริ่มบำรุงสมองให้ดีอยู่กับเราตลอดไป โดยกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่พอเพียง และหมั่นใช้สมองอย่างต่อเนื่องพร้อมทำสมาธิและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=67&post_id=63899
1. ไทโรซีน (Thyrosine) มีมากในปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทะเลนย้ำลึก สารไทโรซีนช่วยให้สมองตื่นตัว และมีสมาธิ
2. นม และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง สร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่สมอง
3. ข้าวไม่ขัดสี ในข้าวไม่ขัดสีมีกรดอมิโนที่ไม่จำเป็นอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นตัวที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงสมอง
4. ผักโขม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองส่วนกลาง เนื่องจากวัยที่สูงขึ้น สมองก็จะเสื่อมลงด้วย
5. ขมิ้น สีเหลืองของขมิ้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม
6. สตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสมองมาเริ่มบำรุงสมองให้ดีอยู่กับเราตลอดไป โดยกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่พอเพียง และหมั่นใช้สมองอย่างต่อเนื่องพร้อมทำสมาธิและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=67&post_id=63899
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)